เปิดลิสต์ 5 อาหารใกล้ตัว ดูเหมือนยังกินได้ แต่จริงๆ เสี่ยง “ตายเงียบ” เตือนคนแก่ที่บ้านด้วย!

เตือนแล้วนะ 5 อาหารใกล้ตัว ที่หลายบ้านยังเผลอกิน ที่จริงแล้วมีพิษ เสี่ยง “ตายเงียบ” โดยไม่รู้ตัว!

หลายครอบครัวยังบริโภคอาหารบางอย่าง โดยไม่รู้เลยว่ามันอาจก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อชีวิต โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุที่อาจคุ้นชินกับพฤติกรรมการทานอาหารที่ “เคยชิน” แต่ละเลยความเสี่ยงที่แฝงอยู่

ล่าสุดเกิดกรณีสะเทือนใจที่ประเทศจีน เมื่อชายหนุ่มวัย 24 ปีในมณฑลเจียงซี เสียชีวิตหลังจากกิน “ปูตาย” เป็นอาหารสำหรับฉลองวันเกิดของตนเอง แม้แพทย์จะพยายามยื้อชีวิต แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถช่วยไว้ได้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อาหารซึ่งคิดว่า “กินได้” กลับกลายเป็นต้นเหตุแห่งโศกนาฏกรรม

ปูที่ตายแล้วสามารถกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของแบคทีเรียจำนวนมาก เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของปูหยุดทำงานหลังตาย แบคทีเรียเหล่านี้จะปล่อยสารพิษ เช่น ฮีสตามีน ซึ่งสามารถทำให้เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง ไปจนถึงช็อกหรือเสียชีวิตได้ในบางราย

นอกจากนี้ ปูตายยังเป็นสาเหตุของโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร และอาการปวดท้องอย่างรุนแรงด้วย ดังนั้น ต้องหลีกเลี่ยงการกินปูที่ไม่สด หรือปูที่สงสัยว่าอาจตายแล้ว ไม่ว่าจะราคาถูกแค่ไหน ก็ไม่ควรเสี่ยงกับชีวิต

ทั้งนี้ ไม่เพียงแค่ปูตายเท่านั้น แต่ยังมีอาหารอีก 5 ชนิดที่พบได้ในครัวเรือนทั่วไป แต่หากบริโภคผิดวิธีหรือเมื่อเริ่มเสื่อมสภาพ อาจส่งผลร้ายต่อสุขภาพอย่างคาดไม่ถึง

1. ถั่วและธัญพืชขึ้นรา

ถั่วที่เก็บไม่ดีจะเกิดราขึ้นง่าย โดยเฉพาะราที่ชื่อ Aspergillus flavus ซึ่งผลิตสารอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin) สารก่อมะเร็งระดับ 1 ที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ยืนยันว่ามีพิษมากกว่า “สารหนู” ถึง 68 เท่า และไม่สลายแม้ผ่านความร้อนสูงถึง 280°C

ข้อสังเกต: ถั่วที่มีรสขม ควรทิ้งทันที

2. เห็ดหูหนูดำแช่น้ำนาน

การแช่เห็ดหูหนูดำเกิน 4 ชั่วโมงในอุณหภูมิห้อง อาจทำให้เชื้อแบคทีเรีย Burkholderia gladioli เจริญเติบโตและผลิตสารพิษอะฟลาทอกซินได้ ซึ่งมีผลทำลายตับและอาจเสียชีวิตแม้ได้รับในปริมาณเพียง 1 มิลลิกรัม

คำแนะนำ: แช่ไม่เกิน 4 ชั่วโมง และหากมีกลิ่นผิดปกติหรือเหนียว ควรทิ้งทันที

3. มันฝรั่งงอกหรือมีจุดเขียว

มันฝรั่งที่เริ่มงอกหรือเปลี่ยนเป็นสีเขียวจะมีปริมาณ “โซลานีน” (Solanine) สูง ซึ่งเป็นพิษต่อระบบประสาท กินเข้าไปจะรู้สึกแสบคอ คลื่นไส้ อาเจียน หรือในบางรายถึงขั้นหายใจลำบากและเสียชีวิตได้

วิธีเก็บ: เก็บในที่แห้ง มืด และเย็น หลีกเลี่ยงแสงแดด

4. บวบและแตงกวาขม

หากผักตระกูลบวบหรือแตงกวามีรสขม แปลว่ามีสาร “คิวเคอร์บิตาซิน” (Cucurbitacin) ที่เป็นพิษต่อร่างกายสูง แม้ต้มก็ไม่สามารถทำลายพิษนี้ได้ ก่อให้เกิดอาการเวียนหัว คลื่นไส้ ปวดท้อง และอาจทำให้ไตล้มเหลว

ข้อสังเกต: ผักที่มีรสขมผิดปกติ ไม่ควรฝืนกิน

5. ผลไม้และผักที่เริ่มเน่า

แม้เราจะตัดส่วนที่เน่าออกแล้ว แต่แบคทีเรียและเชื้อราอาจแพร่กระจายไปทั่วทั้งผล ตัวอย่างเช่น ขิงเน่าจะผลิต “ซาโฟรล” (Safrole) ซึ่งเป็นพิษต่อเซลล์ตับโดยตรง

คำแนะนำ: ซื้อแล้วควรบริโภคให้หมดภายในไม่กี่วัน และทิ้งทันทีหากพบส่วนใดเริ่มเน่า

แล้วควรทำอย่างไรเมื่อกินอาหารที่เป็นพิษ? คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญคือ หากเผลอกินอาหารที่สงสัยว่ามีพิษ ควรปฏิบัติดังนี้ทันที

  1. พยายามทำให้อาเจียน (ภายใน 1-2 ชั่วโมงแรก) เพื่อขับสารพิษ

  2. รีบพบแพทย์ทันที โดยเก็บตัวอย่างอาหารหรืออาเจียนไปตรวจ

  3. ห้ามทำให้อาเจียน หากผู้ป่วยหมดสติ ตั้งครรภ์ หรือมีอาการชัก

และคำถามที่ตามมาของหลายๆ คน หลังจากมีประเด็นเรื่องโศกนาฎกรรมจากของกิน คงหนีไม่พ้นความกังวลเรื่อง เก็บอาหารในตู้เย็น ปลอดภัยจริงหรือ? คำตอบคือแม้ตู้เย็นจะช่วยชะลอการเน่าเสีย แต่หากไม่ดูแลให้ดี ก็อาจกลายเป็นแหล่งสะสมแบคทีเรียแทน ดังนั้น มีเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ เพื่อเก็บอาหารในตู้เย็นให้ปลอดภัยที่สุด

  1. ทำความสะอาดตู้เย็นทุกสัปดาห์

  2. แยกอาหารดิบและสุก

  3. อุ่นร้อนก่อนกิน

  4. ตรวจสอบวันหมดอายุเป็นประจำ

  5. ไม่เก็บอาหารนานเกินจำเป็น เช่น อาหารสุกไม่ควรเก็บเกิน 3 วัน

 “อาหารปลอดภัย = ชีวิตปลอดภัย”  จากเคสของชายหนุ่มข้างต้น นับเป็นอุทาหรณ์เตือนใจอีกครั้งว่า แม้อาหารบางอย่างจะดู “ไม่น่ากลัว” แต่หากบริโภคผิดวิธี หรือหลังจากเสื่อมสภาพแล้ว ก็อาจเป็นภัยร้ายแรงที่ไม่คาดคิด ดังนั้น อย่าประมาทในสิ่งเล็กน้อย อย่าเสี่ยงกับอาหารที่ไม่แน่ใจ แล้วนำชีวิตอาจแขวนอยู่อันตราย แต่ต้องคิดก่อนกิน รู้เท่าทัน เพราะอาหารเป็นพิษไม่ใช่เรื่องไกลตัว

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *